ปัจจุบันเหล่ามิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ กลยุทธ์ก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆยากจะจับทางได้ ถึงแม้ว่าเงินที่อยู่ในธนาคารก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น หลายคนคงเคยได้ยินข่าวที่ว่ามีมิจฉาชีพขโมยเงินด้วยการก็อปปี้ข้อมูล “บัตร ATM “แล้วดึงเงินที่อยู่ในบัญชีไป ซึ่งเกิดความเสียหายมูลค่ากว่าหลายล้านบาทกันมาแล้ว
วันนี้จึงนำเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับ “ตู้และบัตร ATM” มานำเสนอให้ได้เข้าใจกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการป้องกันทรัพย์สิน ไม่ให้ถูกขโมยไปโดยเหล่ามิจฉาชีพ
1. ตัวก็อปปี้ข้อมูลบัตร (Skimmer)
ให้สังเกตุบริเวณที่สอดบัตรอย่างละเอียด เพราะว่ามันมีลักษณะที่ดูคล้ายกันมาก โดยเจ้าเครื่องนี้จะทำการแสกนและก็อปปี้ข้อมูลที่อยู่ในบัตรทั้งหมด ดังนั้นก่อนกดเงินก็ลองขยับๆ ตรงช่องสอดบัตรดูก่อนเพื่อความมั่นใจ
2. สังเกตุความแตกต่าง
เจ้าตัว Skimmer ปลอมนี้จะมีขนาดที่ใหญ่ และหนากว่าช่องปกติธรรมดา
3. บัตรที่ฝังชิปไม่ได้การันตีถึงความปลอดภัยได้เสมอไป
แน่นอนว่าการ์ดที่มีชิปฝังอยู่นั้นทำให้ยากต่อการถูกแฮ็ค แต่ถึงกระนั้นตู้ทั้งหลายก็ไม่ได้อัพเกรดเพื่อให้บัตรเหล่าชี้ใช้งานด้วยกันได้ แถบแม่เหล็กนี้จะทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมมากขึ้น
4. เครื่อง Skimmer ยังคงต้องการใช้รหัสบัตรเพื่อเข้าถึงข้อมูล
เหล่ามิจฉาชีพจะทำการติดตั้งกล้องไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อส่องดูการกดรหัสของคุณ
5. การโจรกรรมก้าวขึ้นไปอีกระดับ
แป้นกดตัวเลขปลอมจะถูกวางลงบนของเดิม เพื่อบันทึกการกดรหัสของคุณ
6. อุปกรณ์ที่ควรสังเกตุ
แป้นกด กล้อง และ Skimmer เป็นสิ่งที่ควรตรวจทานดูก่อนเสมอก่อนที่จะทำการกดเงินที่ตู้ ATM
7. ควรใส่ใจในการกดรหัสบัตร ATM ทุกครั้งเพื่อป้องกันการรู้รหัสของคุณ
การกดรหัสที่เห็นแบบในภาพข้างบนนี้จะทำให้มิจฉาชีพสามารถมองเห็นรหัสของเราได้อย่างชัดเจน
8. สิ่งที่ควรทำเมื่อกำลังกดรหัส
ใช้มือป้องบริเวณด้านบน จะทำให้บังการมองเห็นจากกล้องได้ดีกว่าการป้องจากด้านข้าง
9. ลองเขย่าตู้ ATM ดู
ตู้ ATM นั้นถูกสร้างออกมาให้แข็งแรงทนทาน หากเราเขย่าและรู้สึกว่ามีส่วนใดส่วนหนึ่งแปลกๆ ไปก็ให้ระวังไว้ การขยับบัตรขึ้นลงขณะสอดจะช่วยให้สามารถขัดขวางการทำงานของเจ้าเครื่อง Skimmer ได้
10. หากคุณกลายเป็นเหยื่อของการถูกโจรกรรม คุณยังสามารถรับเงินคืนได้
ก่อนเซ็นสัญญาทำธุรกรรมทางการเงินไม่ว่ากับที่ไหนจงอ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วน โดยส่วนใหญ่แล้วหากคุณแจ้งเรื่องการถูกโจรกรรม ทางธนาคารจะทำการคืนเงินให้คุณภายใน 60 วัน
